วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

หน้าร้อน!!! มาแย้ววววว...ได้โอกาส เสาะหาข้อมูลเชิญเพื่อนๆ เที่ยวคลายร้อนกันดีกว่า

ร้อนไปไหน?


อยู่บ้านก็ อบอ้าวจนหงุดหงิด

ออกข้างนอก ก็ระอุจนระอา
ร้อนนน จนเจ้านายหาเรื่องด่า
เพื่อนหาเรื่องเหวี่ยง แฟนหาเรื่องวีน
เฮ่อ.....หาเรื่องไปเที่ยวทะเลกันเถ๊อะ!

"เกาะ" ยังคงเป็นที่เที่ยวในฝันของใครหลายๆคน ด้วยมนต์เสน่ห์แห่งดินแดนที่ตัดขาดจากโลกวุ่นวาย
พูดถึงเที่ยวเกาะ อย่าเพิ่งไปคิดว่า โอ้ยยย! ต้องไปไกล ยังมีเกาะสวยๆ ทรายขาวๆ น้ำใสๆ ไม่ไกลกรุงฯ
นั่งรถแค่อึดใจเดียวก็ถึง ซึ่งจะพยายามรวบรวมหาข้อมูลมาให้นะคะ 
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก หนังสือร้อนไปไหน? 
และ จาก  http://www.paiduaykan.com/76_province/east/chonburi/sichang.html


ขอบคุณภาพจาก www.dumenu.com

เกาะสีชัง

"เกาะสีชัง"  เป็นสถานตากอากาศที่มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปีจนถึงปัจจุบัน มีธรรมชาติ แตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ มีบรรยากาศที่สงบเงียบ อากาศบริสุทธิ์  มีสถานที่ ท่องเที่ยวงดงาม

 เกาะสีชังเป็นท้องที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเป็นสถานที่ประทับ ของพระเจ้าแผ่นดิ นถึง 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่4  รัชกาลที่ 5  และรัชกาลที่ 6  

ซึ่งมีหลักฐานปรากฏจากพระนามาภิไธยหลาย แห่ง และ รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานบนเกาะขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อเป็นสถานที่ประทับใน ฤดูร้อน และพระราช ทานนามว่า พระจุฑาธุชราชฐาน ตามพระนามพระราชโอรสที่ประสูติบนเกาะสีชังแห่งนี้ 

เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร ประกอบ ด้วย เกาะสีชัง และเกาะบริวารน้อยใหญ่อีก 8 เกาะ คือ เกาะยายท้าว เกาะค้างคาว เกาะท้ายตาหมื่น เกาะปรง เกาะขามใหญ่ เกาะขามน้อย เกาะสัมปันยื้อ และเกาะร้านดอกไม้  เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ และเป็น เกาะที่น่า ท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้



สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง


ขอขอบคุณภาพจาก www.weddinginlove.com
1.พระจุฑาธุชราชฐาน

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเกาะสีชัง ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตามชั้นเนินเขาที่สูงต่ำลดหลั่นกันอย่างงดงามประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14 หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระ ธารน้ำ น้ำพุ ถ้ำและหน้าผา ภายในบริเวณมีสภาพ ภูมิทัศน์ที่งดงามตกแต่งตามลักษณะอุทยานในพระราชวังของประเทศตะวันตก ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างดังต่อไปนี้ 

เรือนเขียว 
ข้อมูล และ ภาพจาก http://www.paiduaykan.com
- เรือนเขียว

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเสด็จมายังเกาะสีชังเป็นประจำโดยเรือกลไฟ และประทับแรมบนเรือ พระที่นั่งโดย มิได้สร้าง สร้างพลับพลาที่ประทับ แต่ในเวลานั้นก็มีเรือนไม้พักผ่อนริมทะเล ปลูกสร้างอยู่แล้วหลังหนึ่ง คือ "เรือนเขียว" ปัจจุบันยังอยู่และมีสภาพที่เรียบร้อยสมบูรณ์


- เรือนวัฒนา

จัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังในสมัยรัชกาลที่ 5 

- สะพานอัษฎางค์ 

อยู่ในบริเวณพระตำหนัก เป็นสะพานที่รัชกาลที่ 5 ท่านทรงใช้เป็นท่าขื้นเทียบเรือหลังจากที่เสด็จประพาสฝรั่งเศส ที่เห็นนี่คือบูรณะใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ว่ายังคงรูปแบบสภาพเดิมทั้งหมด


- อัษฎางค์ประภาคาร

อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีศิลาอยู่ใต้น้ำอยู่ตรงปากช่องทางเรือ ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ สังเกต แก่เรือที่จะเดินเข้าออก

- พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางค์นิมิตร

เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น คือ พระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบ ลังกาตัวพระ อุโบสถสร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อ มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดียปลูกไว้ด้วย พระเจดีย์อุโบสถนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา ณ ตำแหน่งที่สูงมองเห็นได้ชัด และจากองค์พระเจดีย์ สามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณพระราชฐานโดยรอบ รวมถึงภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวย

ขอบคุณภาพจาก www.fotoartspace.com 
2. ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ 

ตั้งอยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็น 

ศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย จากบริเวณศาลมองเห็น ทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้ชัดเจน

3. มณฑปรอยพระพุทธบาท

อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็น จุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ
ขอบคุณภาพจาก http://travel.kapook.com

4.ช่องเขาขาด 

ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์สามารถ ชม พระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย ในอดีตเคยเป็น ที่ตั้ง พลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5

5.แหลมมหาวชิราวุธ

แหลมมหาวชิราวุธ คล้ายกั บแหลมพรมเทพ แต่เล็กกว่าเป็นแหลมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะสีชัง มีสะพาน ที่ทอดยาวยื่นออกไปยังแหลม นักท่องเที่ยวนิยมไปตกปลาที่นั่นกันมากเพราะเป็นโขดหินมากมายเป็นแหล่งที่อยู่ อาศัยของฝูงปลาหลายชนิด และสวยงามเป็นอย่างมาก แหลมสลิดยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็นอีก ด้วยในฤดูหนาวพระอาทิตย์ตกน้ำจะมีดวงใหญ่โตเป็นพิเศษ

6.หาดถ้ำเขาพัง
ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่ การเล่นน้ำการเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวก มาก หากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ ค่าเช่ารถสามล้อเครื่อง คิดเป็นรอบ ๆ ละประมาณ 150-250 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและระยะทาง 

ขอบคุณภาพจาก http://www.sichangisland.com
7.แหลมจักรพงษ์

เป็นแหลมที่สวยงามอีกแห่ง เลยหาดถ้ำพัง ไปทางทิศตะวันตก ใช้เส้นทางเดียวกันกับเส้นทางไปหาดถ้ำพัง บริเวณริมฝั่ง ทะเลจะเป็นโขดหินขนาดใหญ่ สวยงาม เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยงามและมีจุดพักของ นักท่องเที่ยวปลูก เป็นกระโจมเล็กๆกลมกลืนกับบรรยากาศ ได้อย่างสวยงสมและลงตัวลงตัว 








การเดินทางไปเกาะสีชัง


1. รถยนต์ส่วนตัว 

จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนสายบางนา - ตราด มุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี จากตัวเมืองชลบุรี มุ่งหน้าสู่บางแสน (หลักกิโล เมตรที่ 104 ท่านจะถึงแยกขวามือเข้า หาดบางแสน ) จากทางเข้าหาดบางแสน ขับตรงไปประมาณ 13 กิโลเมตร จะถึง ห้าง โรบินสันศรีราชา ซึ่งอยู่ทางขวามือของท่าน ( ตรงห้างโรบินสัน คือ หลักกิโลเมตรที่ 117 ) จากนั้นให้ เลี้ยวขวาตรง ห้างโรบินสัน จากนั้นขับตรงไปยังท่าเรือเกาะลอย ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะถึง ท่าเรือเกาะลอย
**หากท่านต้องการค้างคืนสามารถจอดรถไว้ืที่ฝั่งเกาะลอยๆได้**

2. รถโดยสารสาธารณะ

สามารถขึ้นรถได้ 2 แห่ง คือ 

- สถานนีเอกมัย นั่งรถกรุงเทพ - สัตหีบ หรือกรุงเทพ - ศรีราชา หรือ กรุงเทพ - พัทยา แล้วไปลงที่ หน้าห้าง โรบินสัน ศรีราชา จากนั้นเดินข้ามฝั่งไปยังห้างโรบินสัน แล้วนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างหรือสามล้อเครื่องไป ยังท่าเรือเกาะลอย ( ค่าโดยสาร 40 บาท )

- สถานีหมอชิตรถออกทุกครึ่งชัวโมง ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. ยกเว้นวันจันทร์ที่มีรถออกตั้งแต่ 04.30 น.

จากศรีราชา(ท่าเรือเกาะลอย) ไปยังเกาะสีชัง(ท่าเรือเทววงศ์)

มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือเกาะลอยทุกวันตั้งแต่ 6.00 -20.00 น. ออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ  15 นาทีจากเกาะสีชังมายังท่าเรือเกาะลอย ศรีราชาก็เช่นกัน 
แต่ในวันเสาร์อาทิตย์จะเพิ่มรอบเรือเวลา 7.00 น. ด้วย ค่าโดยสาร 40 บาท 

**รายละเอียดสอบถามได้ที่เรือสีชังพาเลซ โทร. 038 216 276-82 หรือ เรือแสงประทีปบริการ 
โทร. 038 313 687**

การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง

เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างไกลกันพอสมควร นักท่องเที่ยวจึงนิยมเช่ามอเตอร์ไซต์หรือสามล้อ เครื่อง สกายแลป (นั่งได้ 3- 4คน)

 ค่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 250 บาท, ค่ารถสกายแลป 150-250 บาท แล้วแต่การ แวะชม 

สถานที่ท่องเที่ยวจุดใดบ้างซึ่งท่านสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ ของเทศบาล ตำบลเกาะสีชัง เทศบาลตำบลเกาะสีชัง 038 216 141




























































วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"เพิ่มบุญ" อิ่มใจ รสชาดอร่อย ไม่ธรรมดา !

 


       ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ทุกวันนี้ มีมากมายหลายร้านค่ะ  มีทั้งที่รสชาดแบบธรรมชาติแท้ๆ และดัดแปลง ปรุงแต่งเข้าไปเป็นสูตรเฉพาะให้ถูกปาก ถูกลิ้น คนชิม  คราวนี้เลยขอเกาะกระแสอาหารธรรมชาติกะเขาบ้าง โดยจะขอแนะนำร้านอาหารเพือสุขภาพในดวงใจ ให้เพื่อนๆได้ลองไปชิมค่ะ ^_^

     "ร้านเพิ่มบุญ" แค่ชื่อร้านก็สะดุดหูซะแล้วใช่ไหมล่ะคะ ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ตัวเองยังคิดไปถึงร้านร้านสังฆภัณฑ์ เลยค่ะ ^_^ มาดูเมนูภายในร้านกันบ้าง ถึงแม้ชื่อจะไม่ได้ตั้งโดดเด่น หรือ แปลกหูเหมือนร้านอื่นๆ ที่ต้องการดึงดูดลูกค้า  เลยขอไปสอบถาม พนักงานในร้านให้แนะนำอาหารที่ฮอตฮิต ของที่นี่ เลยทำให้เราไม่พลาดที่จะสั่งตามที่แนะนำมาค่ะ

เมนูค่ะ

ไปที่เมนูกันเลยนะคะ

"ยำถั่วพลู"
"ก๋วยเตี๋ยวบก"
"ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง"
"ขนมจีนน้ำยา"
"สลัดผลไม้"
ตบท้ายด้วย น้ำอัญชัน

อาหารทุกอย่างรสชาดไม่จัดจ้านค่ะ ลงตัวพอดี ผักที่นำมาทำก็สดน่ารับประทาน ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว หรือเป็นอุปสรรคต่อการเคี้ยวแต่อย่างใด สมแล้วกับเป็นร้านเพื่อสุขภาพ และเป็นร้านที่ขึ้นชื่อของจังหวัดฉะเชิงเทราค่ะ

น้ำดอกอัญชัน
 "ยำถั่วพลู"
                                          

"น้ำสำหรับราดบนยำ สูตรพิเศษ"
ขนมจีนน้ำยา สุดแสนอร่อย


วิธีเดินทางไปร้านนะคะ


ร้านอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ค่ะ
ร้านเปิด  วันจันทร์ - วันเสาร์  เวลา 07.00 - 16.00 น. (ประมาณบ่าย 3 โมง อาหารบางอย่างก็หมดแล้วล่ะคะ)
โทรศัพท์     038-595099

อยู่ ตรงถนนศรีโสธรตัดใหม่ ถ้าเข้าเมืองโดยเส้นทาง ขนส่งจังหวัดฉะเชิงเทรา จะผ่าน สถานีรถไฟฉะเชิงเทรา จากนั้นรัีบชิดขวา แล้วเลี้ยวขวา แยกแรกเลยค่ะ  ตรงไปประมาณไม่เกิน 2 กิโลเมตร จะเห็นป้ายชื่อร้านเล็กๆ อยู่ซ้ายมือค่ะ ลองไปดูนะคะ เดินทางไม่ยากเลย ^_^


วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

..พาเที่ยว แม่น้ำบางนรา, นราธิวาส

ขอบคุณ : Clip จากรายการ เจอร์นี


สัมผัสวิถีชาวใต้ ในถิ่นคนดีที่นราธิวาส   แม่น้ำบางนรา อ.เมือง จังหวัด นราธิวาส








วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เที่ยว เมือง "นราธิวาส"


ทักษิณราชตำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา
ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน 



สนามบินนราธิวาส
ศาลหลักเมือง จังหวัดนราธิวาส


....คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า...หลายๆคน.. ที่รู้จัก จังหวัดนราธิวาส ก็เพราะเรื่องราว ข่าวคราวความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่คนร้ายพยายามก่อเหตุเข่นฆ่าชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน....

        แต่น้อยคนนัก ที่จะรู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของเรื่องราวร้ายๆ เหล่านั้น คือ ภูมิประเทศที่สวยงาม วัฒนธรรมโบราณมากมาย มีธรรมชาติที่สวยงามสมบูรณ์ ศูนย์รวมศาสนา และที่สำคัญที่สุดคือ..ความเรียบง่ายในวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่น่ารักเป็นมิตร ....บางครั้งก็นึกไปว่า หรือเพราะว่า มีเรื่องร้ายๆ จากความไม่สงบ จึงทำให้จังหวัด ที่สวยงามจังหวัดนี้ ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ เนื่องจาก..เหล่าบรรดานายทุน คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวนั้น ไม่มีความกล้ามากพอที่จะมาลงทุน ทำธุรกิจ หรือ เอารัดเอาเปรียบคนที่นี่...ความเจริญด้วยวัตถุนิยม เลยยังมาไม่ถึง..คนในท้องถิ่น จึงยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบๆ ง่ายๆ พออยู่ พอกิน แบบที่ไม่เห็นในเมืองหลวง เมืองใหญ่ 

หลายๆจังหวัดที่คนเมืองหลวง เมืองใหญ่ พยายามที่จะหาเวลาเดินทางไป พักผ่อน โดยเน้นธรรมชาติ และ วัฒนธรรมท้องถิ่นเก่าๆ โหยหาอดีตที่คุ้นเคย...อย่างเช่น ปาย , เชียงคาน , น่าน  ที่ตอนนี้ เริ่มเปลี่ยนไปจากนายทุน และ สิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ที่เป็นธุรกิจ มากกว่าที่จะทำเพื่อ อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่แท้จริง ที่เป็นอยู่เดิมๆ 

        ครั้งนี้..จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียน ได้เดินทางลงพื้นที่ "นราธิวาส" ความจริง ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยได้ยินมา กลับรู้สึกถึง กลิ่นอายความเป็นชนบทที่เดิมๆ เงียบ สงบ เรียบง่าย แบบคนต่างจังหวัดของไทยทั่วไป บ้านเมือง วัดวาอาราม  คนท้องถิ่น ก็ยังเดินทางใช้ชีวิตปกติ    เด็กๆ ยังเดินทางไปโรงเรียน พ่อแม่ไปส่งที่โรงเรียน ชาวบ้านไปตลาดสด พระบิณฑบาตตามถนน ผู้คนยังดูขวักไขว่ ไม่ได้ดูหวาดระแวง หรือ กลัวจนไม่กล้าออกจากบ้านเลยอย่างที่ใครๆ คิดกัน ... ขอให้สันติสุขจงกลับมาเร็ววันด้วยเทอญ ! 
        


ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขุนละหาร



พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขุนละหาร อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส
           ถึงจะเป็น พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่เปิดทำการเพียงไม่นาน แต่ก็มีหลักฐาน และ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ภาคใต้มากมาย นับว่าเป็นความพยายามที่ทำเพื่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง จากการ พูดคุยกับ ผู้ใหญ่ รัศมินทร์  นิติธรรม ผู้ก่อตั้ง และยังดำรงตำแหน่งผู้นำท้องถิ่นอีกด้วย ได้บอกกับผู้เขียนว่า..... มีแนวความคิดเพื่ออนุรักษ์ และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชุมชน และ ถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนและสังคม ซึ่งทุกๆวันจะมีผู้เข้ามาชมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งโรงเรียนนำเด็กๆ มาชม หน่วยราชการต่างๆ และผู้ที่สนใจวัฒนธรรมท้องถิ่น  ขนาดของพื้นที่โดยรวมนั้นไม่ใหญ่โต เหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไป เนื่องจากเป็นบ้านของผู้ใหญ่ นำมาก่อสร้างเพิ่มเติม แต่ของภายในทรงคุณค่าต่อท้องถิ่นอย่างมากมาย          สถานที่จัดแสดงนั้น ก็แบ่งเป็นห้องจัดแสดงเพื่อ ง่ายต่อการเข้าชมของผู้เยี่ยมชม และง่ายต่อการจัดแสดงด้วย

ดะวะห์ ดัดตน



ดะวะห์ ดัดตน


เป็นการออกกำลังกายของ กลุ่มดะวะห์ ในเวลาก่อนนอนในอดีต เพื่อให้เลือดลมไหวเวียนดี และมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งในปัจจุบันนี้ วิชาต่างๆเหล่านี้เริ่มที่จะสูญหายไป เพราะว่าไม่มีการถ่ายทอด และจดบันทึก และในปัจจุบันนี้หาคนทำได้น้อยมาก  
ว่าววงเดือน
"ว่าว วงเดือน"
  
ว่าว วงเดือน” หรือ ที่คนในท้องถิ่น เรียกว่ "วาบูแล" เล่นกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดภาคใต้ ตามตำนานในสมัยก่อน เล่าสืบต่อกันมาว่า ว่าววงเดือนเป็นของเล่นเทวดา (แดวอมูดอ) โดยผู้ที่ให้ว่าว แก่ แดวอมูดอ คือ พระบิดา ของพระราม (รายอสรามอ) ชื่อ ซีระห์มะห์รายอ จึงทำให้ว่าววงเดือนมีรูปเทวดา 
    ทั้งนี้ ว่าววงเดือน มีหลายชนิดมีหลายรูปแบบ และมีการเล่นกันแพร่หลายในพื้นที่ภาคใต้ของไทย แต่ในพื้นที่ 3 จังหวัด จะมีการเน้นความสวยงาม รวมทั้งประเภท ที่มีเสียงดัง ประเภทลอยขึ้นสูง ที่สำคัญปัจจุบันมีการจัดทำเพื่อจำหน่ายในรูปแบบของที่ระลึกอีกด้วย 







รูปแบบชื่อ และความหมายของดอก ลายลังกาสุกะ
ลังกาสุกะ
          พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต ระบุว่า ลังกาสุกะ อยู่ห่างจากเมืองปัตตานี สมัยนั้น (บ้านกรือเซะ อ.เมืองปัตตานี) ไปทางตอนเหนือของลำน้ำปัตตานี คือ บริเวณเมืองโบราณ ที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ใน ปัจจุบัน ลังกาสุกะ ในสมัยนั้นเป็นเมืองท่าอิสระ ดูแลเส้นทางการค้าจากตะวันออก ไปยังตะวันตก ผ่านทางคอคอดกระ การเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเล ทำให้ ลังกาสุกะมีความสัมพันธ์กับชนต่างถิ่น ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษา มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รับเอาอารยธรรม ฮินดู-ชวา หรือ ฮินดู-พุทธ เข้ามาในสังคมมลายู ก่อนจะรับเอาอารยธรรมอิสลาม เข้ามาในเวลาต่อมา 
ลังกาสุกะ เป็นเมืองหนึ่งที่มีความเจริญทางด้านศิลปะ วัฒนธรรมมีมาเป็นพันปีแล้ว ตำนานเล่าขานว่า ลังกาสุกะ ก่อตั้งขึ้น โดยมีช้าง และ กริช เป็นหลัก ความเชื่อว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผล และมีความปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ  ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข สมกับชื่อที่ว่า สุกะ  (สุขะ) เมืองที่มีความสุข 
ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะที่ประณีต เช่น หัวกริชวาด (กริชจอแต็ง) ดอก เป็นดอกลายมลายูโบราณที่มีมาแต่สมัย ลังกาสุกะ ซึ่ง ช่างแกะสลักนั้น จะใส่ความหมาย และจิตวิญญาณ สร้างกระแสจิต สมาธิแน่วแน่ จึงเกิดเป็นลายที่มีจิตวิญญาณขึ้น ประกอบกับที่ ลวดลายต่างๆนั้น ล้วนมีความหมายในตัวมันเอง เสมือนสิ่งมีชีวิตที่สถิต อย่างพิสดา


  ข้าวของเครื่องใช้โบราณภายในพิพิธภัณฑ์

         
      กอแฆ (กระต่ายขูดมะพร้าว)
ถ้วยชามโบราณ
เครื่องประดับทองเหลือง เจ้านายโบราณ
ของเล่นโบราณ ของผู้ใหญ่รัศมินทร์

           ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์





















  


"จาปิ้ง"

"จาปิ้ง"
เรือกอและ ส่วนใหญ่ใช้ในการประมงใน 3 จังหวัดภาคใต้ โดยนำออกไปทำการประมงในทะเล และนิยมทำเป็นพวก ๆ พวกละ ๕-๖ ลำ นอกจากนี้ยังใช้สำหรับแข่งขันโดยใช้ฝีพาย หรือใช้ใบก็ได้  ทุกครั้งที่จะออกเรือ
    ก่อนขึ้นเรือชาวประมงจะให้ความเคารพเรือกอและ ของตนโดยการถอดรองเท้าทุกครั้ง และ เมื่อเรือจอดอยู่บนฝั่งก็ห้ามผ่านใกล้ ๆ หรือเล่นบริเวณหัวเรือ ไม่พูดจาเชิงอวดดี หรือพูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล เพราะเชื่อว่ามีพระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองเรือ สิงสถิตอยู่ที่หัวเรือบริเวณ "จาปิ้ง" นับได้ว่าเรือกอและ เป็นเรือในจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งใช้ในการประมงทางทะเลของชาวประมงมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ นับว่าเป็นเรือที่แปลกตาและหาดูได้ยากในจังหวัดอื่นๆ





"รือบับ"
"รือบับ"
รือบับ คือเครื่องดนตรีการละเล่นมะโย่ง มีลักษณะคล้ายซอ สายของไทย 



เครื่องแต่งกายการละเล่นมะโย่ง











การแสดงมะโย่งจังหวัดปัตตานี 
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) 
ขอบคุณที่มา : http://www.oknation.net/blog/yongyoot/2007/08/22/entry-1
มะโย่ง มะโย่ง   เป็นสำเนียงภาษามาลายูถิ่นปัตตานี  หรือ มะโย่ง  ที่เรี่ยกกันทั่วไป   เป็นศิลปะการร่ายรำที่ผสมผสานทางพิธีกรรมความเชื่อ  การละคร  นาฏศิลป์  และดนตรีเข้าด้วยกัน   จัดเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านชั้นเลิศของวัฒนธรรมท้องถิ่นมลายู  โดยเฉพาะแถบชายแดนใต้ของไทย  ได้แก่  ปัตตานี  ยะลาและนราธิวาส               



มะโย่ง เดิมทีในสมัยโบราณ ใช้แสดงในการประกอบพิธีกรรม บูชาขวัญข้าว (ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว)  งานแก้บนสะเดาะเคราะห์  งานประเพณีเฉลิมฉลอง และ งานรื่นเริงต่างๆ  เช่น แต่งงาน  งานเข้าสุนัต   งานเมาลิต  งานฮารายา  งานเทศกาลประจำปีของจังหวัด  งานต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประเทศ แต่ในปัจจุบันงานเหล่านี้ไม่มีการแสดงมะโย่งแล้ว  
      มะโย่ง แสดงในโรงที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เล่นประกอบกับ ดนตรี  ได้แก่ รือบับ คล้ายซอ3สายของไทย คัน ฆง หรือ ฆ้องขนาดใหญ่  1 คู่ กึนดึงมลายู หรือ กลองมลายู 1 คู่  จือเเระ หรือ กรับอย่างน้อย 2 คู่


กริชโบราณ


กริช เป็นคำในภาษาชวา - มลายู ส่วนในภาษาถิ่นยะลา เรียกว่า "กรือเระฮ์" เนื่องจากกริชมีความเกี่ยวข้องกับชาวชวา ในสมัยโบราณที่เชื่อในเทพเจ้า ลักษณะของ   ด้ามกริช  มักจะทำเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยายของชวา และไม่ขัดกับหลักทางศาสนาอิสลาม
กริช..เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความ เป็นชายชาตรี บ่งถึงฐานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ และยศฐาบรรดาศักดิ์ ของผู้เป็นเจ้าของหรือของตระกูลโดยเฉพาะการใช้กริช ในภาคใต้ตอนล่างนิยม อย่างแพร่หลายทั้งไทยพุทธและมุสลิม มีความเชื่อและ เกี่ยวพันกับวัฒนธรรมอื่นๆ 
ความนิยมนั้นเพิ่งเลิกราไปเมื่อทางราชการประกาศ ให้ถือว่ากริช เป็นอาวุธที่ห้ามพากพาในที่ชุมชน กริช เป็นมีดสั้นแบบหนึ่ง ใบมีดคดแบบลูกคลื่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในหมู่ผู้คนในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย  และบางจังหวัดทางภาคใต้ของไทย กริชนั้นเป็นทั้งอาวุธและวัตถุมงคล บ่งบอกถึงเหตุดีร้ายในชีวิตได้ ปัจจุบันยังนิยม สะสมเป็นของเก่าที่มีคุณค่าสูง 








ระเพณีการแห่นก เป็นประเพณีการทางพื้นเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะที่นราธิวาส ซึ่งได้มีการกระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน เป็นประเพณีนิยมที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา ไม่เป็นประเพณีตามนักขัตฤกษ์ แต่จัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามโอกาส เพื่อความสนุกรื่นเริง เป็นการแสดงออกเกี่ยวกับการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในศิลปะและอาจจัดขึ้นในการแสดงความคารวะ แสดงความจงรักภักดี แก่ผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ หรือในโอกาสต้อนรับแขกเมือง บางทีอาจจัดขึ้นเพื่อความรื่นเริงในพิธีการเข้าสุนัต หรือที่เรียกว่า "มาโซยาวี" หรือจัดขึ้นเพื่อประกวดเป็นครั้งคราว นกที่นิยมทำขึ้นเพื่อการแห่มีเพียง ๔ ตัว คือ

  • ๑. นกกาเฆาะซูรอหรือ นกกากะสุระ นกชนิดนี้ตามสันนิษฐานคือ "นกการเวก" เป็นนกสวรรค์ที่สวยงามและบินสูงเทียมเมฆการประดิษฐ์มักจะตบแต่งให้มีหงอนสูงแตกออกเป็น ๔ แฉก นกชนิดนี้ชาวพื้นเมืองเรียกว่า "นกทูนพลู" เพราะบนหัวมีลักษณะคล้ายบายศรีพลู และมีการทำให้แปลกจากนกธรรมดา เพราะเป็นนกสวรรค์
  • ๒. นกกรุดา หรือ นกครุฑ มีลักษณะคล้ายกับครุฑ เชื่อกันว่านกชนิดนี้มีอาถรรพ์ ผู้ทำมักเกิดอาเพศ มักเจ็บไข้ได้ป่วย ในปัจจุบันจึงไม่นิยมจัดทำนกชนิดนี้ ในขบวรแห่
  • ๓. นกบือเฆาะมาศ หรือนกยูงทอง มีลักษณะคล้ายกับนกกาเฆาะวูรอ มีหงอน สวยงามเป็นพิเศษ ชาวไทยมุสลิมยกย่องนกยูงทองมาก และไม่ยอมบริโภคเนื้อ เพราะเป็นนกที่รักขน การประดิษฐ์ตกแต่งรูปนกพญายูงทองนั้น จึงมีการตกแต่งที่ประณีตถี่ถ้วนใช้เวลามาก
  • ๔. นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ ตามคตินกนี้มีหัวเป็นนก แต่ตัวเป็นราชสีห์ ปากมีเขี้ยวงาน่าเกรงขาม


ที่มาจากเว็ป : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=abird&month=07-07-2012&group=49&gblog=79


สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และ ให้กำลังใจ ผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นขุนละหาร ได้ที่  ลิ้งค์ นี้นะคะ  https://www.facebook.com/Khun-Laharn-Local-Museum